Wednesday, 19 October 2016

การขุดหลุมการปลูกมะม่วง

การขุดหลุมการปลูกมะม่วง

การขุดหลุมปลูกทั้งแบบปลูกบนร่องและปลูกในที่ดอน ควรปลูกให้เป็นแถวเป็นแนว เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาและการ ปฏิบัติงาน ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาวและลึก 50-100 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าดินดี ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก ก็ ขุดหลุมขนาดเล็กได้ ส่วนดินที่ไม่ค่อยดี ให้ขุดหลุมขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้นให้แยกเป็นสองกอง คือ ดินชั้นบนแยกไว้กองหนึ่ง ดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาสัก 15-20 วัน แล้วผสม ดินทั้งสองกองด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ก้นหลุมก็ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักรองพื้นไว้ด้วย แล้วจึงกลบดินลงไปในหลุมตามเดิม โดยเอา ดินชั้นบนลงไว้ก้นหลุม และดินชั้นล่างกลบทับลงไปทีหลัง ดินที่กลบลงไปจะสูงกว่าปากหลุม ควรปล่อยทิ้งไว้ให้ดินย ุบตัวดีเสียก่อน หรือรดน้ำให้ดินยุบตัวดีเสียก่อนจึงลงมือปลูก


ระยะปลูก ระยะปลูกมีหลายระยะด้วยกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์ในการปลูก ได้แก่

1.) ระยะปลูกแบบถี่ เช่น 2.5 x 2.5 เมตร, 4 x 4 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม

2.) ระยะปลูกแบบห่าง เช่น 8 x 8 เมตร, 10 x 10 เมตรหรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม

Wednesday, 12 October 2016

การปลูกมะม่วง ฉบับชุดใหญ่

การปลูกมะม่วง ฉบับชุดใหญ่ 



การขุดหลุมปลูก
2.1 การขุดหลุมปลูกทั้งแบบปลูกบนร่องและปลูกในที่ดอน ควรปลูกให้เป็นแถวเป็นแนว เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาและการ ปฏิบัติงาน ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาวและลึก 50-100 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าดินดี ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก ก็ ขุดหลุมขนาดเล็กได้ ส่วนดินที่ไม่ค่อยดี ให้ขุดหลุมขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้นให้แยกเป็นสองกอง คือ ดินชั้นบนแยกไว้กองหนึ่ง ดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาสัก 15-20 วัน แล้วผสม ดินทั้งสองกองด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ก้นหลุมก็ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักรองพื้นไว้ด้วย แล้วจึงกลบดินลงไปในหลุมตามเดิม โดยเอา ดินชั้นบนลงไว้ก้นหลุม และดินชั้นล่างกลบทับลงไปทีหลัง ดินที่กลบลงไปจะสูงกว่าปากหลุม ควรปล่อยทิ้งไว้ให้ดินย ุบตัวดีเสียก่อน หรือรดน้ำให้ดินยุบตัวดีเสียก่อนจึงลงมือปลูก


2.2 ระยะปลูก ระยะปลูกมีหลายระยะด้วยกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์ในการปลูก ได้แก่

1.) ระยะปลูกแบบถี่ เช่น 2.5 x 2.5 เมตร, 4 x 4 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม

2.) ระยะปลูกแบบห่าง เช่น 8 x 8 เมตร, 10 x 10 เมตรหรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม


3. วิธีปลูก
การปลูกมะม่วงไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือต้นที่เพาะเมล็ดก็ตาม ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมาก เพราะจะทำ ให้ต้นชะงักการเติบโตหรือตายได้ ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ในภาชนะนาน ๆ ดินจะจับตัวกันแข็งและรากก็พันกันไปมา เวลานำออกจากภาชนะแล้วให้บิแยกดินก้นภาชนะให้กระจายออกจากกันบ้าง ส่วนรากที่ม้วนไปมาให้พยายามคลี่ออกเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว


3.1 การปลูกด้วยกิ่งทาบ กิ่งติดตา ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะปลูกเดิม หรือสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ต้องไม่มิดรอยที่ติดตาหรือต่อกิ่งไว้ เพื่อจะได้เห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้น แตกออกมาจากกิ่งพันธุ์หรือจากต้นตอ ถ้าเป็นกิ่งที่แตกจากต้นตอให้ตัดทิ้งไป


3.2 การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะเดิมหรือให้เหลือจุกมะพร้าวที่ใช้ในการตอนโผล่อยู่เล็กน้อย ไม่ควร กลบดินจนมิดจุกมะพร้าว เพราะจะทำให้เน่าได้ง่าย

เมื่อปลูกเสร็จให้ปักไม้เป็นหลักผูกต้นกันลมโยกแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ต้นที่นำมาปลูก ถ้าเห็นว่ายังตั้งตัวไม่ดี คือแสดงอาการเหี่ยวเฉาตอนแดดจัด ควรหาทางมะพร้าวมาปักบังแดดให้บ้าง ก็จะช่วยให้ต้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น ในระยะที่ต้นยังเ ล็กอยู่นี้ให้หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ อย่าให้ดินแห้งได้ การปลูกในฤดูฝนจึงเหมาะที่สุด เพราะจะประหยัดเรื่องการให้น้ำได้มาก และต้นจะตั้งตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่มีน้ำที่จะให้แก่ต้นมะม่วงได้ทั้งปี ให้ปลูกในระยะต้นฤดูฝน ช่วงแรก ๆ อาจต้องรดน้ำให้บ้าง เมื่อฝนเริ่มตกหนักแล้วก็ไม่ต้องให้น้ำอีก ต้นจะสามารถตั้งตัวได้เต็มที่ก ่อนจะหมดฝน และสามารถจะผ่านฤดูแล้งได้โดยไม่ตาย ส่วนที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์จะปลูกตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก



การให้น้ำ หลักที่ควรยึดถือปฎิบัติดังนี้

1. เมื่อเก็บเกี่ยวผลเสร็จแล้ว ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตรเสมอกัน และทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยต้องรดน้ำถ้าฝนไม่ตกหรือดินไม่มีความชื้นพอ และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอกับมะม่วงในช่วงต้องการเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบ โดยให้น้ำตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลเสร็จไปจนถึงเดือนกันยายน

2. มะม่วงก่อนออกดอก ต้องไม่ให้น้ำเพราะมะม่วงต้องการพักตัวหรือหยุดการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมแทงช่อดอก ดังนั้นช่วงอดน้ำให้กับต้นมะม่วงเป็นเวลา 1 เดือน (ต.ค.-ต้นพ.ย.) และอาจใช้วิธีรมควันโดยสุมไฟให้ควันร้อนไล่ความชื้นในดิน หรือวิธีควั่นตามกิ่งไม่ให้น้ำไปถึงยอด

3. เมื่อมะม่วงเริ่มออกดอกและดอกเริ่มบาน เริ่มให้น้ำโดยให้ทีละน้อยพอหน้าดินเปียก โดยใช้น้ำฉีดล้างช่อดอกก็ได้จนกว่าผสมเกสรติดเป็นผลอ่อนเล็ก ๆ จึงค่อยเพิ่มการให้น้ำขึ้นทีละน้อยแต่ยังไม่ต้องมาก หลังจากนั้น 47 วัน ผลมะม่วงได้วัยขนาดขบเผาะ (นับจากวันที่ดอกบาน) ต้นมะม่วงต้องการน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนกว่าผลมะม่วงอายุได้ 70 วัน นับแต่ดอกบานให้ลดปริมาณการให้น้ำลงทีละน้อย จนกว่าผลอายุ 90 วัน หลังจากดอกบาน (ระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 100-115 วัน)
การสังเกตว่าน้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ให้สังเกตที่ขั้วดอกและขั้วผล คือถ้าขั้วแห้งแสดงว่าน้ำน้อย แต่ถ้าขั้วเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลสีเขียวออกเหลืองนวล แสดงว่าน้ำมากเกินไป

การให้ปุ๋ย
1. ก่อนเก็บเกี่ยวมะม่วง หรือช่วงเก็บเกี่ยวผลอยู่ให้ลำเลียงปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก ไปกองไว้รอบ ๆ พุ่มต้น (ยังไม่ต้องรดน้ำ) จนกว่าเก็บเกี่ยวหมดจึงเกลี่ยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกกลบดินเล็กน้อยพร้อมให้น้ำไปด้วยมะม่วง 5 ปีขึ้นไปใช้ต้นละ 2-3 ปี๊บ และใช้ปุ๋ยเสมอกัน เช่น 15-15-15, 17-17-17 ใส่ด้วย โดยดูความสมบูรณ์ของต้นอาจใช้ครึ่งหนึ่งของทรงพุ่ม จากนั้นใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเร่งดอก เช่น 10-20-30, 12-26-32 พ่นมะม่วงในช่วงเดือน ก.ย-ต.ค 1-2 ครั้ง ก่อนฉีดโปแตสเซี่ยมไนเตรท เร่งการออกดอก

2. เมื่อมะม่วงเริ่มติดผลอ่อน เริ่มให้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15-15-15, 17-17-17 อีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลอ่อน

3. เมื่อผลโต ขนาด 2 ใน 3 ของผลโตเต็มที่ ให้ใช้ปุ๋ย ฉีดพ่นทางใบสูตร 10-20-30, 12-22-32 หรือสูตรตัวท้ายสูง เพื่อช่วยให้คุณภาพและรสชาติหวานขึ้น



Wednesday, 28 September 2016

การ ตอนกิ่งมะม่วง

การ ตอนกิ่งมะม่วง  (Layering)

การตอนกิ่ง หมายถึง วิธีการทำให้กิ่งพืชออกรากในขณะอยู่ติดกับต้นแม่ เมื่อกิ่งตอนนั้นออกรากดีแล้ว จึงตัดไปปลูกต่อไป

การตอนกิ่งเป็นการตัดท่อลำเลียงอาหารของพืชส่วนท่อน้ำยังมีอยู่ตามปกติ จึงทำให้กิ่งที่ทำการตอนได้รับน้ำอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กิ่งตอนสดอยู่เสมอจนกว่าจะออกราก

การออกรากของกิ่งตอน จะขึ้นอยู่กับความชื้น การถ่ายเทอากาศ และระดับอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่ถ้าปล่อยให้ดินหรือวัสดุหุ้มกิ่งแห้งโดยมิได้ดูแล ย่อมจะเป็นอุปสรรคต่อการเกิดรากได้เช่นกัน  ดังนั้น ฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการตอนกิ่ง ควรเป็นฤดูฝน

การตอนกิ่ง  ใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะพืชบางชนิดที่ไม่สามารถออกรากได้โดยใช้วิธีตัดชำ  แต่ออกรากได้โดยวิธีตอนกิ่ง  สามารถทำได้ง่ายทั้งกลางแจ้งและในเรือนเพาะชำ  นอกจากนี้ กิ่งตอนยังมีจำนวนรากมากกว่ากิ่งตัดชำ เมื่อนำไปปลูก จึงมีโอกาสตั้งตัวได้เร็วและมีเปอร์เซ็นต์การตายน้อยกว่ากิ่งตัดชำ  ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ  พืชต้นใหม่ที่ได้จากการตอน จะมีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย  จึงสะดวกต่อการดูแลปฏิบัติบำรุงรักษาและเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะไม้ประดับ จะได้ทรงพุ่มที่สวยงาม  เป็นต้น  แต่กิ่งตอนมีข้อเสีย คือ พืชที่นำไปปลูกเมื่อโตเต็มที่จะล้มง่าย เพราะไม่มีรากแก้ว

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตอนกิ่ง
1) การทำให้เกิดการสะสมอาหารและสารบางชนิดที่จำเป็นต่อการงอกราก ในบริเวณที่ทำการตอน โดยวิธีการทำให้กิ่งเกิดแผล เพื่อตัดท่อลำเลียงอาหารของพืชในส่วนอื่นๆ จึงเกิดการสะสมอาหารและสารบางอย่างขึ้นเหนือแผลที่ทำการตอน
2) การสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการงอกรากของพืช เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และแสงสว่าง
3) การดูแลรักษา ควบคุมความชื้นหรือการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย อันเกิดจากศัตรูอื่นๆ เช่น มด แมลง สัตว์เลี้ยง เป็นต้น

อุปกรณ์ที่ใช้ในการตอนกิ่ง
1) มีดขยายพันธุ์หรือคัตเตอร์ (Cutter) หรือมีดติดตาต่อกิ่ง
2) ถุงพลาสติกขนาด 2x4 นิ้ว หรือ 3x5 นิ้ว
3) วัสดุหุ้มกิ่งตอน เช่น กาบมะพร้าว ถ่านแกลบหรือขุยมะพร้าว
4) เชือกมัดวัสดุหุ้มกิ่งตอน เช่น เชือกฟาง
5) ฮอร์โมนเร่งราก

รูปแบบการตอนกิ่ง  มีหลายวิธี ที่นิยมกันได้แก่
1)  การตอนกิ่งในอากาศ (Air Layering)
2)  การตอนกิ่งแบบฝังยอด (Tip Layering)
3)  การตอนกิ่งแบบฝังกิ่งให้ยอดโผล่พ้นดิน (Simple Layering)
4)  การตอนกิ่งแบบงูเลื้อย (Compound Layering)
5)  การตอนกิ่งแบบขุดร่อง (Trench Layering)
6)  การตอนกิ่งแบบสุมโคน (Mound or Stool Layering)

1)  การตอนกิ่งในอากาศ (Air Layering)
   การตอนกิ่งในอากาศ โดยเฉพาะแบบควั่นกิ่ง   เหมาะสำหรับไม้ดอกไม้ประดับ  เช่น  กุหลาบ  โมก  โกสน  แสงจันทร์  เล็บครุฑ ฯลฯ และไม้ผลบางชนิด  เช่น  มะม่วง  ลำไย  มังคุด  มะเฟือง   ฯลฯ  เป็นต้น    มีขั้นตอน  ดังนี้

(1) เลือกกิ่งที่มีอายุไม่เกิน  1  ปี หรืออยู่ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจะออกรากได้ดีกว่ากิ่งที่มีอายุมาก และควรเป็นกิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ำค้าง ที่สมบูรณ์ ปราศจากโรคและแมลง

(2) ควั่นเปลือกกิ่ง  ความยาวของรอยแผล ประมาณเส้นรอบวงของกิ่ง ทั้งด้านบนและล่างของกิ่ง แล้วลอกเอาเปลือกออกและขูดเยื่อเจริญที่เป็นเมือกลื่นๆ รอบกิ่งออกให้หมด

(3) นำตุ้มตอน (ขุยมะพร้าวเก่าที่แช่น้ำจนอิ่มตัว แล้วบีบน้ำออกพอหมาดๆ อัดลงในถุงพลาสติกแล้วผูกปากถุงให้แน่น) มาผ่าตามความยาวแล้วนำไปหุ้มรอยแผลของกิ่งตอน มัดด้วยเชือกทั้งบนและล่างรอยแผลที่ควั่น

(4) เมื่อกิ่งตอนงอกรากซึ่งจะเกิดตรงบริเวณรอยควั่นด้านบน และรากเริ่มแก่เป็นสีเหลือง หรือมีสีน้ำตาล ปลายรากมีสีขาวและมีจำนวนรากมากพอ จึงตัดกิ่งตอนไปชำหรือปลูกได้

Monday, 12 September 2016

ปุ๋ย เร่ง ดอก มะม่วง

การใส่ปุ๋ยมะม่วง ปุ๋ย เร่ง ดอก มะม่วง  




เมื่อตัดแต่งกิ่งแล้วเสร็จ ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันเกษตรกรต้องเร่งการเจริญเติบโตและเร่งการสะสมอาหาร เพื่อให้มะม่วงมีความสมบูรณ์พร้อมที่จะให้ผลผลิตในรุ่นต่อไป จากนั้นเกษตรกร ควรจัดเก็บและทำความสะอาดบริเวณพื้นสวนให้โล่งเตียนด้วยการตัดหรือดายหญ้าให้โล่งเพื่อลดบริเวณอาศัยของแมลงศัตรู และสะดวกในการเข้าไปดูแลบำรุงรักษาและทำกิจกรรมอื่น ๆ ของเกษตรกรเองบริเวณรอบโคนต้นมะม่วง เกษตรกรควรสุมโคนด้วยแกลบดิบเพื่อเรียกรากฝอยและรากขนอ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการราดสาร และการให้ปุ๋ยเคมีทางดินสำหรับมะม่วง นอกจากนั้นยัง เป็นการช่วยดูดซับความชื้นดินบริเวณรอบโคนต้นแถมยังช่วยลดปริมาณวัชพืชบริเวณโคนต้นอีกด้วยการให้ปุ๋ยเคมีในระยะนี้ประกอบด้วย ปุ๋ยทางดินปุ๋ยเคมีสำหรับมะม่วงควรเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ เช่นปุ๋ยสูตร 15-15-15  เป็นต้นโดยการให้บริเวณราก ในอัตรา ครึ่งกิโลกรัมต่อต้น สำหรับมะม่วงอายุ 4 ปีขึ้นไป ควรใส่ปุ๋ยดังนี้
(5) ตัดกิ่งตอนไปชำในภาชนะ ในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อรอการปลูกต่อไป

Tuesday, 23 August 2016

วิธีการปลูกมะม่วง

วิธีการปลูกมะม่วง
การปลูกมะม่วงไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือต้นที่เพาะเมล็ดก็ตาม ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมาก เพราะจะทำ ให้ต้นชะงักการเติบโตหรือตายได้ ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ในภาชนะนาน ๆ ดินจะจับตัวกันแข็งและรากก็พันกันไปมา เวลานำออกจากภาชนะแล้วให้บิแยกดินก้นภาชนะให้กระจายออกจากกันบ้าง ส่วนรากที่ม้วนไปมาให้พยายามคลี่ออกเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว


1.) การปลูกด้วยกิ่งทาบ กิ่งติดตา ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะปลูกเดิม หรือสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ต้องไม่มิดรอยที่ติดตาหรือต่อกิ่งไว้ เพื่อจะได้เห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้น แตกออกมาจากกิ่งพันธุ์หรือจากต้นตอ ถ้าเป็นกิ่งที่แตกจากต้นตอให้ตัดทิ้งไป


2.) การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะเดิมหรือให้เหลือจุกมะพร้าวที่ใช้ในการตอนโผล่อยู่เล็กน้อย ไม่ควร กลบดินจนมิดจุกมะพร้าว เพราะจะทำให้เน่าได้ง่าย

เมื่อปลูกเสร็จให้ปักไม้เป็นหลักผูกต้นกันลมโยกแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ต้นที่นำมาปลูก ถ้าเห็นว่ายังตั้งตัวไม่ดี คือแสดงอาการเหี่ยวเฉาตอนแดดจัด ควรหาทางมะพร้าวมาปักบังแดดให้บ้าง ก็จะช่วยให้ต้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น ในระยะที่ต้นยังเ ล็กอยู่นี้ให้หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ อย่าให้ดินแห้งได้ การปลูกในฤดูฝนจึงเหมาะที่สุด เพราะจะประหยัดเรื่องการให้น้ำได้มาก และต้นจะตั้งตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่มีน้ำที่จะให้แก่ต้นมะม่วงได้ทั้งปี ให้ปลูกในระยะต้นฤดูฝน ช่วงแรก ๆ อาจต้องรดน้ำให้บ้าง เมื่อฝนเริ่มตกหนักแล้วก็ไม่ต้องให้น้ำอีก ต้นจะสามารถตั้งตัวได้เต็มที่ก ่อนจะหมดฝน และสามารถจะผ่านฤดูแล้งได้โดยไม่ตาย ส่วนที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์จะปลูกตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก

Thursday, 18 August 2016

มะม่วงแก้ว ชื่อ วิทยาศาสตร์

สายพันธุ์ มะม่วง แก้ว ชื่อ วิทยาศาสตร์
มะม่วงมีพันธุ์มากมายดังที่ปรากฏในหนังสือพรรณพฤกษาของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่กล่าวถึงมะม่วงในสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้กว่า 50 พันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ โชคอนันต์ อกร่อง ตัวอย่าง เช่น

ต้นมะม่วงแก้ว

ชื่อพื้นเมือง : มะม่วง

ชื่อวิทยาศาสตร์: Mangifera indica L.

ชื่อวงศ์: ANACARDIACEAE

ชื่อสามัญ: Mango Tree

ลักษณะวิสัย: ไม้ล้มลุก

เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-20 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มทรงกลมหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเวียนสลับเยอะบริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นรูบรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบ โคนใบมน เนื้อใบค่อนข้างหนาแข็ง ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด หลังใบเป็นสีเขียวหม่น ดอกออกเป็นเชิงลด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม

ลักษณะเด่นของพืช: เปลือกล าต้นสีแดง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก เป็นคู่ๆตามข้อของล าต้น ใบรูปไข่ถึง รูปหัวใจ ขอบใบจักฟันเลื่อย แผ่นใบมีร่องลึกเป็นล่อนๆตามเส้นใบ ผิวใบด้านบนสีเขียวปนม่วงเหลือบเทาเงิน ผิว ใบด้านล่างสีม่วงแดง ดอกสีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีใบประดับเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ดอกรูปถ้วยขนาดเล็ก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลแห้งแตกสีขาว

ประโยชน์: ผลสด น ามากินเป็นยาแก้คลื่นไส้ อาเจียนวิงเวียน แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ขับปัสสาวะ เป็นยา ระบาย แก้อาการปวด

Friday, 29 July 2016

มะม่วงน้ำดอกไม้

มะม่วงน้ำดอกไม้ชนิดที่ปลูกเพื่อกินผลสุกเพียงอย่างเดียว ยัง มีการปรับปรุงพันธุ์ ให้มีหลายเบอร์ตามขนาดของผลอีกด้วย แต่ที่ถือว่าอร่อยที่สุด

มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปคือ MANGIFERA INDICA LINN. อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง รูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา สีเขียวเข้มเป็นมัน

ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กสีนวลจำนวนมาก   ดอกมีกลิ่นหอม"ผล" รูปกลมรี ยาว ปลายผลย้วยสวยงามมาก เวลาติดผลจะเป็นพวง 3-5 ผล
ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กสีนวลจำนวนมาก   ดอกมีกลิ่นหอม"ผล" รูปกลมรี ยาว ปลายผลย้วยสวยงามมาก เวลาติดผลจะเป็นพวง 3-5 ผล

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/138847

Friday, 22 July 2016

การปลูกมะม่วง สูตรบำรุงดอก

การปลูกมะม่วง สูตรบำรุงดอก  


ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15(400 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรช่วงค่ำ ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้น
หมายเหตุ :
- ให้ “เอ็นเอเอ. หรือ เอ็นเอเอ.+ จิ๊บเบอเรลลิน” ช่วงดอกตูมแทงออกมายาว 2-3 ซม.1 ครั้ง จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับการผสมแต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้ผิดอัตราจะเกิดความเสียหายต่อดอกและไม่ได้ผล....ช่วงอากาศร้อนใช้ในอัตราลดลง25 เปอร์เซ็นต์ของอัตราใช้ปกติ และช่วงอากาศหนาวให้เพิ่มอัตราใช้ 25 เปอร์เซ็นต์ของอัตราใช้ปกติ
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “ฮอร์โมนน้ำดำ และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ให้แบบเดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
- ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงจนถึงช่วงดอกบาน
- ระยะดอกบานถ้าตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยกะระยะเวลาบำรุงให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดเช่นกัน แก้ไขโดยการสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดิน ทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก....มาตรการบำรุงต้นและดอกให้สมบูรณ์อย่างแท้จริงอยู่เสมอจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
- ในช่อดอกมีทั้งดอกและใบ แก้ไขด้วยการฉีดพ่น “0-42-56 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม” พอเปียกใบ 1-2 รอบ ช่วงเช้าแดจัด ห่างกันรอบละ 5-7 วัน หลังจากที่เห็นชัดแล้วว่ามีทั้งใบละดอก

Thursday, 14 July 2016

การให้น้ำการปลูกมะม่วง

การให้น้ำการปลูกมะม่วง 

1.) เมื่อเก็บเกี่ยวผลเสร็จแล้ว ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตรเสมอกัน และทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยต้องรดน้ำถ้าฝนไม่ตกหรือดินไม่มีความชื้นพอ และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอกับมะม่วงในช่วงต้องการเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบ โดยให้น้ำตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลเสร็จไปจนถึงเดือนกันยายน

2.) มะม่วงก่อนออกดอก ต้องไม่ให้น้ำเพราะมะม่วงต้องการพักตัวหรือหยุดการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมแทงช่อดอก ดังนั้นช่วงอดน้ำให้กับต้นมะม่วงเป็นเวลา 1 เดือน (ต.ค.-ต้นพ.ย.) และอาจใช้วิธีรมควันโดยสุมไฟให้ควันร้อนไล่ความชื้นในดิน หรือวิธีควั่นตามกิ่งไม่ให้น้ำไปถึงยอด

3.) เมื่อมะม่วงเริ่มออกดอกและดอกเริ่มบาน เริ่มให้น้ำโดยให้ทีละน้อยพอหน้าดินเปียก โดยใช้น้ำฉีดล้างช่อดอกก็ได้จนกว่าผสมเกสรติดเป็นผลอ่อนเล็ก ๆ จึงค่อยเพิ่มการให้น้ำขึ้นทีละน้อยแต่ยังไม่ต้องมาก หลังจากนั้น 47 วัน ผลมะม่วงได้วัยขนาดขบเผาะ (นับจากวันที่ดอกบาน) ต้นมะม่วงต้องการน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนกว่าผลมะม่วงอายุได้ 70 วัน นับแต่ดอกบานให้ลดปริมาณการให้น้ำลงทีละน้อย จนกว่าผลอายุ 90 วัน หลังจากดอกบาน (ระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 100-115 วัน)
การสังเกตว่าน้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ให้สังเกตที่ขั้วดอกและขั้วผล คือถ้าขั้วแห้งแสดงว่าน้ำน้อย แต่ถ้าขั้วเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลสีเขียวออกเหลืองนวล แสดงว่าน้ำมากเกินไป

การปลูกมะม่วง สูตรบำรุงผลเล็ก

การปลูกมะม่วง สูตรบำรุงผลเล็ก 
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 21-7-14 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นทางใบพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- นำอินทรีย์วัตถุกลับเข้าคลุมโคนต้นพร้อมกับเสริมยิบซั่มธรรมชาติ อัตรา 1 ใน 10 ส่วนของครั้งที่ใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำแบบค่อยๆ เพิ่มปริมาณน้ำทีละน้อยๆ ของการให้น้ำ 3-4 รอบเพื่อให้ต้นรู้ตัว
หมายเหตุ :
- เริ่มบำรุงเมื่อผลเท่าเมล็ดถั่วเขียว หรือหลังกลีบดอกร่วง
- ช่วงผลเล็กเริ่มโชว์รูปทรงผลแล้วให้ “น้ำ 100 ล.+ จิ๊บเบอเรลลิน 10 กรัม” ฉีดพ่น 1 รอบพอเปียกใบ จะช่วยบำรุงผลไม่ให้เกิดอาการผลแตกผลร่วงตลอดอายุผลได้ดี

Thursday, 30 June 2016

การปลูกมะม่วงบำรุงผลกลาง

การปลูกมะม่วงบำรุงผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 21-7-14 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (100 ซีซี.)+ ไคโตซาน 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นทางใบพอเปียกใบ
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ
- เริ่มบำรุงเมื่อเปลือกหุ้มเมล็ดเริ่มแข็ง (เข้าไคล) การที่จะรู้ว่าเมล็ดเริ่มเข้าไคลให้ใช้วิธีสุ่มเก็บลงมาผ่าดูลักษณะภายในผล
- วัตถุประสงค์เพื่อขยายขนาดผลและลดขนาดเมล็ด (หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ) ทำให้ผลมีเนื้อมากแต่เมล็ดเล็กหรือลีบ
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ ฮอร์โมนน้ำดำ. แคลเซียม โบรอน. 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก

Tuesday, 28 June 2016

ปลูกมะม่วง ขายพันธุ์ สร้างรายได้ดี “1 ไร่ 1 แสน”

สำหรับคนที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ แต่อยากปลูกมะม่วงเป็นอาชีพ ยังมีโอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคงจากสวน
มะม่วงได้โดยมุ่งขายพันธุ์มะม่วง เช่นเดียวกับ คุณสุรศักดิ์ ศรีอำนวย เจ้าของ บ้านสวนไม้ดี เลขที่ 44/2 หมู่ที่ 7 ตำบลแก่นเสี้ยน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โทร. (089) 929-6305 ปัจจุบัน คุณสุรศักดิ์มีรายได้จากการขายพันธุ์มะม่วงเฉลี่ย 1 แสนบาท/ไร่/ปี

คุณสุรศักดิ์ เป็นหนุ่มชาวปักษ์ใต้ ที่ทำงานด้านศิลปะมาเกือบตลอดชีวิต โดยเรียนรู้งานเขียนจิตรกรรมไทย มาจาก อาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่คนในวงการศิลปะเรียก “ท่านกูฏ” หลังจากทำงานศิลปะจนอิ่มตัว คุณสุรศักดิ์หันมาสนใจทำงานด้านเกษตร เพราะต้องการอยู่กับธรรมชาติในช่วงบั้นปลายของชีวิต

“ผมไม่สนใจปลูกไม้ประดับ เพราะมองว่าเป็นสินค้าที่เหมือนของเล่น ราคาวูบวาบตามกระแสตลาด ขณะที่ไม้ผลเป็นของกินอย่างไรก็ขายได้ โดยตั้งใจทำสวนมะม่วงอย่างจริงจัง ผมเรียนรู้อาชีพการทำเกษตรโดยใช้หลักการเดียวกับการทำงานงานศิลปะ ท่านกูฏสอนว่า หลักการทำงานต้องประสาน 3 อย่าง เข้าด้วยกัน คือ ‘สายตา มือ และใจ’ ตาต้องมองดูความสวยงามให้ออก มือต้องฝึกฝนเขียนภาพให้ชำนาญ ต้องมีใจรักและชื่นชอบในงานที่ทำ จึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้”

คุณสุรศักดิ์ ตั้งใจศึกษาหาความรู้เรื่องการทำสวนมะม่วงจากตำราและโลกอินเตอร์เน็ต รวมทั้งพบปะพูดคุยกับเกษตรกรคนเก่งที่ประสบความสำเร็จในอาชีพทำสวนมะม่วง เช่น “พี่ตี๋” เจ้าของบ้านสวนเงาน้ำ ที่เชี่ยวชาญเรื่องการทาบมะม่วงเพราะทำมาตั้งแต่เด็ก พี่ตี๋เริ่มต้นปลูกมะม่วงขายกิ่งพันธุ์แค่ 1-2 ไร่ จนมีรายได้ทะลุหลักล้าน เกิดจากการขายกิ่งพันธุ์มะม่วงทั้งสิ้น




“พี่ตี๋ ให้คำแนะนำว่า หากอยากปลูกมะม่วงขายผล จะต้องมีพื้นที่ปลูกมะม่วงอย่างน้อย 10 ไร่ จึงมีรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ทั้งปี แต่หากขายกิ่งพันธุ์มะม่วง แค่มีพื้นที่ 1-2 ไร่ ก็มีรายได้และผลกำไรเหลือเฟือ เพราะยิ่งทาบกิ่งออกขาย ยิ่งเร่งให้ต้นมะม่วงแตกกิ่งมากขึ้น สามารถทาบกิ่งออกขายได้จำนวนมาก การปลูกมะม่วงขายพันธุ์ ดูแลจัดการง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือนกับปลูกมะม่วงขายผล”

สมัยก่อนเกษตรกรทั่วไปนิยมขยายพันธุ์มะม่วงด้วยวิธีการเสียบกิ่งและติดตา ซึ่งต้องใช้เวลารอคอยให้ตายืดตัวค่อนข้างนาน คุณสุรศักดิ์เชื่อว่า การทาบ เป็นวิธีการขยายพันธุ์มะม่วงที่ดีที่สุดในขณะนี้ สำหรับต้นมะม่วง ต้นขนุน มะขาม เงาะโรงเรียน หากใช้พันธุ์ที่เป็นกิ่งตอนหรือกิ่งทาบ จะให้ผลผลิตไว ตั้งแต่ปีแรกที่ปลูก โดยเด็ดผลทิ้งบ้างเพื่อไม่ให้ต้นติดลูกเยอะมาก จนต้นโทรม

ในทางปฏิบัติ ความรู้เรื่องการทาบกิ่งใครๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ภายใน 2 ชั่วโมงได้ แต่จะทาบกิ่งได้สำเร็จหรือไม่ ต้องวัดกันที่ฝีมือ หากฝีมือทาบกิ่งไม่ดีจริง จะทำให้มะม่วงตายได้ ทำให้หลายคนที่เริ่มต้นทาบกิ่งพันธุ์มะม่วงเกิดความรู้สึกท้อถอยได้ง่าย จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณสุรศักดิ์สอนให้รู้ว่า คนที่สนใจทาบกิ่งมะม่วงเป็นอาชีพ ควรมีเวลาฝึกฝนไม่ต่ำกว่า 2 ปี

ปัจจุบัน เกษตรกรที่เชี่ยวชาญด้านทาบมะม่วงที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วไปคือ กลุ่มเกษตรกรแถวบางขุนนนท์ คุณสุรศักดิ์ เคยติดต่อจ้างกลุ่มเกษตรกรบางขุนนนท์มาช่วยทาบกิ่งในสวนมะม่วงของเขา ปรากฏว่า คุณสุรศักดิ์ต้องเสียเวลารอนานถึง 2 ปี กว่าจะได้คิวเกษตรกรกลุ่มนี้มาทำงานด้วย โดยจ่ายค่าจ้าง ประมาณวันละ 1,000 บาท พร้อมอาหารและที่พัก



หนึ่งในเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้การทาบกิ่งได้ผลดีคือ เลือกใช้มีดที่คมมาก หลังจากเปิดเปลือกลำต้น ต้องใช้ปลายมีดปาดบนต้นมะม่วง ให้ผิวเรียบเนียนก่อนทาบกิ่ง จึงจะได้ผลดีตามที่ต้องการ คุณสุรศักดิ์โชว์มีดพกที่ใช้ประจำ ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความคมระดับมีดหมอผ่าตัด

คุณสุรศักดิ์ เล่าอีกว่า ทาบกิ่ง หากผลิตเป็นไม้ถุง จะใช้รากแก้วต้นตอเพียงต้นเดียว ต่อ 1 กิ่ง ส่วนการทาบต้น จะใช้หลายตอ ทาบรอบต้นเป็นตุ้มใหญ่ ทุกวันนี้ผมเลือกทาบมะม่วงที่มีกิ่งก้านขนาดใหญ่เป็นหลัก ผมเคยทาบต้นมะม่วงขนาดใหญ่ที่คนยกไม่ไหวต้องใช้เครนยกแทน โดยเทคนิคการทาบต้นมะม่วงขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้ทาบถึงสามชั้น โดยใช้ตอเปลือยถึง 30 ตอ ใช้รากแก้วถึง 30 ราก ถึงจะเอาอยู่ ตัดออกมาแล้วต้นไม่ตาย

ปัจจุบัน บ้านสวนไม้ดี ปลูกรวบรวมสายพันธุ์มะม่วงไทยโบราณและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 40 สายพันธุ์ ในแง่การตลาด กิ่งพันธุ์มะม่วงที่ลูกค้าต้องการ มีประมาณ 10-20 สายพันธุ์ ในปี 2556 ที่ผ่านมา กิ่งพันธุ์มะม่วงโชคอนันต์ ติดอันดับสินค้าขายดีที่สุด เพราะเป็นสายพันธุ์มะม่วงทะวายที่ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี โดยสวนแห่งนี้สามารถผลิตกิ่งพันธุ์มะม่วงโชคอนันต์ออกขายได้ปีละ 3-5 รุ่น

“ทุกวันนี้ ลูกค้าไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติมะม่วงว่าอร่อยหรือไม่ แค่เป็นพันธุ์มะม่วงทะวายที่ให้ผลผลิตออกนอกฤดูกาลก็เพียงพอแล้ว สำหรับกลุ่มมะม่วงทะวายที่ตลาดมีความต้องการสูง ได้แก่ โชคอนันต์ มันเดือนเก้า มันศาลายา ส่วนมะม่วงพื้นบ้านที่ขายดีเช่นกัน ได้แก่ เขียวเสวย อกร่อง น้ำดอกไม้ มหาชนก”

ที่ผ่านมา บ้านสวนไม้ดี ผลิตกิ่งพันธุ์มะม่วงออกจำหน่ายตามไซซ์ที่ตลาดต้องการ โดยสินค้าที่มีขนาดเล็กสุดคือ ไม้ถุง ที่มีความสูง 1 เมตร ขายส่ง กิ่งละ 40 บาท แต่ปัจจุบันลดการผลิตสินค้าในกลุ่มนี้แล้ว เพราะมีผลกำไรน้อย และหันไปผลิต “ไม้เข่ง” ที่มีผลกำไรมากกว่าแทน สำหรับกลุ่มไม้เข่ง แบ่งเป็น 5 ขนาด คือ ไม้เข่ง ขนาด 10 นิ้ว ขนาด 12 นิ้ว ขนาดถังครึ่ง  ขนาดสองถัง และขนาดสามถัง (ราคา 700-1,000 บาท) ส่วนไซซ์ใหญ่กว่าสามถังจะผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นหลัก

คุณสุรศักดิ์ บอกว่า สมัยก่อนเกษตรกรเลือกใช้ตอมะม่วงแก้วและมะม่วงป่าในการขยายพันธุ์ แต่ทุกวันนี้หันมาใช้ตอมะม่วงโชคอนันต์มากขึ้น เนื่องจากมะม่วงพันธุ์นี้มีผลผลิตตลอดทั้งปี จึงหาเมล็ดเพาะได้ง่าย นอกจาก มะม่วงแก้วขมิ้นของเขมรก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงขึ้น เกษตรกรนิยมสั่งซื้อเมล็ดแก้วขมิ้นจากโรงงานแปรรูปมะม่วงดอง ในราคา เมล็ดละ 35 สตางค์ ทางโรงงานจะแกะกะลา เหลือแต่เนื้อใน สามารถนำมาเพาะได้ง่าย ปี 2556 มีเกษตรกรรายหนึ่งในจังหวัดสุโขทัยสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์มะม่วงแก้วขมิ้นถึง 2 ล้านเมล็ด เพื่อนำไปเพาะขยายตอ และทาบกิ่ง

ปีที่แล้ว คุณสุรศักดิ์ สั่งซื้อเมล็ดมะม่วงแก้วขมิ้น ประมาณ 45,000 ต้น มาเพาะทำพันธุ์ แต่ปีนี้เปลี่ยนนโยบายไม่ขายเชิงปริมาณ แต่เน้นผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยสั่งซื้อเมล็ดแก้วขมิ้นเพียง 30,000 ต้น เท่านั้น และสั่งซื้อกิ่งมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาปลูกเพื่อศึกษาดูสายพันธุ์เพิ่มขึ้น ปัจจุบันสวนแห่งนี้สามารถขยายกิ่งพันธุ์มะม่วง อาร์ทูอีทู ได้เป็นจำนวนมาก รองลงมาคือ แดงจักรพรรดิ (ยู่เหวิน) กิมหงษ์ กิมฮวง จินฮวง



คุณสุรศักดิ์ บอกว่า ปริมาณความต้องการกิ่งพันธุ์มะม่วงต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเพื่อผลิตป้อนตลาดส่งออก อีกส่วนนิยมปลูกเป็นไม้แปลกในบ้านเรือน เพราะมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศเหล่านี้ มักให้ผลผลิตที่มีสีสันสวยงามแปลกตา เช่น มะม่วงพันธุ์ยู่เหวิน มีผลสีแดง ซึ่งไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน

ส่วนมะม่วงพันธุ์จินฮวง มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติความอร่อยแล้ว ผลยังมีขนาดใหญ่ เนื้อแน่น เมล็ดลีบและมีอายุการเก็บรักษาที่นาน ไม่ค่อยเสียง่าย มะม่วง อาร์ทูอีทู ก็มีอายุการใช้งานนาน แช่ตู้เย็นนานเป็นครึ่งเดือนผลก็ไม่เสีย เหมาะสำหรับขายขึ้นห้างสรรพสินค้า และป้อนตลาดส่งออก ส่วนแก้วขมิ้นจากเขมรก็มีลักษณะเด่นคือ เนื้อสีเหลือง ลูกใหญ่ เนื้อกรอบ อร่อย ก็เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย เกษตรกรจำนวนมากจึงสนใจสั่งซื้อกิ่งพันธุ์มะม่วงต่างประเทศในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบัน คุณสุรศักดิ์ ได้ทดลองปลูกมะนาวแซมสวนมะม่วง เพื่อเป็นช่องทางสร้างรายได้เสริมในอนาคต โดยเลือกปลูกมะนาวสายพันธุ์ปลอดโรคเป็นหลัก ได้แก่ มะนาวทูลเกล้า มะนาวน้ำหอมด่านเกวียน มะนาวแป้นพิจิตร คุณสุรศักดิ์ บอกว่า มะนาวแป้นพิจิตร ต้านทานโรคสูง แต่ยังไม่ปลอดภัยเสียทีเดียว สู้มะนาวน้ำหอมด่านเกวียนและพันธุ์ทูลเกล้าไม่ได้เพราะตั้งแต่ปลูกสองสายพันธุ์มะนาวนี้ไม่เจอโรคพืชเลย เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมผลิตขายส่งกิ่งพันธุ์มะนาวในราคากิ่งละ 35 บาท แต่สวนแห่งนี้สามารถขายส่งได้ในราคาสูงถึงกิ่งละ 300-700 บาท เพราะขยายพันธุ์มะนาวแบบตอนกิ่งและอัดตุ้ม โดยเน้นทำกิ่งพันธุ์มะนาวให้สวย ถูกใจลูกค้ามากที่สุด

“นอกจากนี้ ยังมีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สนใจสั่งซื้อกิ่งพันธุ์มะนาวแป้นรำไพเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นมะนาวสายพันธุ์โบราณ สายพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือ ทรงแป้น ผลโต ออกลูกดก เปลือกบาง น้ำมาก มีกลิ่นหอม เมล็ดน้อยมาก แค่ 3-4 เมล็ด แม้มะนาวสายพันธุ์นี้จะมีจุดอ่อนในเรื่องโรคแคงเกอร์ ยางไหล แต่เกษตรกรหลายรายกล้าลงทุนปลูกมะนาวแป้นรำไพเชิงการค้า โดยทุ่มทุนทำแปลงปลูกนอกฤดูแค่รุ่นเดียวแล้วฟันต้นทิ้ง เพราะให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า”

คุณสุรศักดิ์ ศรีอำนวย ใจดีและไม่หวงวิชา หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลเรื่องการขยายพันธุ์มะม่วงและมะนาว แวะไปเยี่ยมดูงานได้ที่ บ้านสวนไม้ดี หรือโทรศัพท์ไปพูดคุยได้โดยตรง ที่เบอร์โทร. (089) 929-6305 ได้ทุกวัน

ข้อมูล: นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน www.technologychaoban.com

การปลูกมะม่วงบำรุงผลแก่

การปลูกมะม่วงบำรุงผลแก่ 
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-0-50 (400 กรัม) หรือ 0-21-74 (400 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำเพื่อละลายปุ๋ยแล้วงดน้ำเด็ดขาด
หมายเหตุ :
- เริ่มให้ก่อนเก็บเกี่ยว 7-10 วัน 1-2 รอบห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- การให้ 13-13-21 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลรุ่นเดียวกันทั้งต้น แต่หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้นมักโทรมจึงต้องเร่งบำรุงฟื้นฟูความสมบูรณ์ของต้น (เรียกใบอ่อน) กลับคืนมาโดยเร็วแล้วจึงเข้าสู่วงรอบการบำรุงใหม่
- การให้ 8-24-24 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลหลายรุ่นในต้นเดียวกันหรือประเภททะวายทยอยออกแบบไม่มีรุ่นซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่จัดไปแล้วต้นไม่โทรม ใน 8-24-24 เป็นปุ๋ยประเภทสะสมอาหารเพื่อการออกดอกซึ่งจะส่งผลให้กิ่งที่ยังไม่ออกดอกเกิดอาการอั้นแล้วออกดอกติดผลเป็นผลรุ่นใหม่ได้
- ระยะผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวถ้ามีการให้ “กลูโคสหรือนมสัตว์สด” สำหรับมะม่วงกินสุกเมื่อผลสุกเนื้อในจะนิ่มหรือเละ
เครดิตคัดลอกบทความมาจาก
http://www.kasetloongkim.com/

Friday, 24 June 2016

การเพาะเมล็ดมะม่วง

 การเพาะเมล็ดมะม่วง

โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรง และเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่างๆ เช่น การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรง ส่วนข้อเสียคือ ออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอน หรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป
1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนักอาจจะเพาะในกระบะหรือในภาชนะต่างๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่ และถุงพลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมากๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูก หรือนำไปทาบกิ่งต่อไป
1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่แคระแกร็นที่จะเก็บมาต้องแก่จัด หรือสุกปากตะกร้อควรมีขนาดและน้ำหนักเท่าๆเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็นต้นตอ ควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรงทานกะล่อนแก้วแดงร่องต้นมะม่วงพวกนี้จะแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆดี

1.3 การเตรียมเมล็ด แกะเมล็ดในมาเพาะ ให้ใช้มีดคมๆ ตัดปลายเมล็ดออกเล็กน้อย เพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน รอยที่ตัดให้ค่อนไปทางด้านท้องของเมล็ด แล้วฉีกเปลือกของเมล็ดนอกออกเป็น 2 ซีก แล้วเอาเมล็ดที่อยู่ภายในซึ่งมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่ออกมาทำการเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดโปร่ง อากาศ และน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย เมล็ดงอกได้เร็ว และถ้ามีแรงงานพอ ให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะ ก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก
เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว ควรคัดเมล็ดโดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า
1.4 วิธีเพาะเมล็ด วัสดุที่ใช้ในการเพาะที่ดีควรใช้ ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ ใส่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 902 (ปุ๋ยเทศบาล) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่ในกระบะเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดที่แกะออกมาแล้ว มาปักชำลงในกระบะเพาะที่เตรียมไว้

การเพาะในภาชนะต่างๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 12 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลงเพาะ ให้เพาะเป็นแถวๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึก
ประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ตั้งส่วนท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของควานยาวของเมล็ด จะทำให้เมล็ดงอกดี และต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์ ถึงปะมาณ 20 วัน
หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกนั้นไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ประมาณ 4x6 นิ้ว ใส่ดินที่มีใบไม้ผุมากๆ หรือขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 902 หลังจากปักชำอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นกล้ามะม่วงจะมีขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอดำ ซื่งเป็นขนาดที่พอเหมาะในการนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีต่อไป ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้น ควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกไว้ในกระถางเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก
คัดลอกบทความ
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=6579.0

Tuesday, 21 June 2016

การให้ปุ๋ยการปลูกมะม่วง

การให้ปุ๋ยการปลูกมะม่วง1.) ก่อนเก็บเกี่ยวมะม่วง หรือช่วงเก็บเกี่ยวผลอยู่ให้ลำเลียงปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก ไปกองไว้รอบ ๆ พุ่มต้น (ยังไม่ต้องรดน้ำ) จนกว่าเก็บเกี่ยวหมดจึงเกลี่ยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกกลบดินเล็กน้อยพร้อมให้น้ำไปด้วยมะม่วง 5 ปีขึ้นไปใช้ต้นละ 2-3 ปี๊บ และใช้ปุ๋ยเสมอกัน เช่น 15-15-15, 17-17-17 ใส่ด้วย โดยดูความสมบูรณ์ของต้นอาจใช้ครึ่งหนึ่งของทรงพุ่ม จากนั้นใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเร่งดอก เช่น 10-20-30, 12-26-32 พ่นมะม่วงในช่วงเดือน ก.ย-ต.ค 1-2 ครั้ง ก่อนฉีดโปแตสเซี่ยมไนเตรท เร่งการออกดอก

2.) เมื่อมะม่วงเริ่มติดผลอ่อน เริ่มให้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15-15-15, 17-17-17 อีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลอ่อน

3.) เมื่อผลโต ขนาด 2 ใน 3 ของผลโตเต็มที่ ให้ใช้ปุ๋ย ฉีดพ่นทางใบสูตร 10-20-30, 12-22-32 หรือสูตรตัวท้ายสูง เพื่อช่วยให้คุณภาพและรสชาติหวานขึ้น

Sunday, 12 June 2016

คลิปการทาบ การตอน กิ่งมะม่วง

คลิปการ ทาบ การตอน กิ่งมะม่วง
วิชาการไม่เท่ากับลงมือปฎิบัติ ชมคลิป รู้สูตรขอให้ทุกท่านที่ติดตามทดสอบและทดลองได้เลยครับ เอาใกล้บ้านไปก่อนจะได้ติดตามผลและจดบันทึกได้

พันธุ์มะม่วง ที่ นิยม ปลูก การปลูกมะม่วง

พันธุ์มะม่วง ที่นิยมปลูก การปลูกมะม่วง

1. พันธุ์ มะม่วง มหาชนก
2.พันธุ์ มะม่วงทองดำ ทองแดง
3.พันธุ์ มะม่วงมัน
4.พันธุ์ มะม่วง
5.พันธุ์มะม่วง น้ำดอกไม้
6.พันธ์มะม่วงกิมหงษ์
7.พันธุ์มะม่วงงาช้าง ไตหวัน
8.พันธุ์มะม่วงตลับนาค

สายพันธุ์
มะม่วงมีพันธุ์มากมายดังที่ปรากฏในหนังสือพรรณพฤกษาของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่กล่าวถึงมะม่วงในสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้กว่า 50 พันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ โชคอนันต์ อกร่อง ตัวอย่าง เช่น

เขียวเสวย เป็นพันธุ์พื้นเมืองของนครปฐม ผลยาว ด้านหลังผลโค้งนูนออก ปลายแหลม ผิวเรียบ สีเขียวเข้ม เปลือกหนา เหนียว ผลแก่รสมัน
น้ำดอกไม้ เป็นพันธุ์ที่กินผลสุก รูปร่างยาวเรียว ผลดิบเนื้อขาว รสเปรี้ยวจัด ผลสุกสีเหลืองนวล รสหวาน
อกร่องทอง เป็นพันธุ์เก่าแก่ นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน ผลค่อนข้างเล็ก มีร่องเป็นแนวยาวที่ด้านท้อง ผลสุก เนื้อละเอียด มีเสี้ยนน้อย
ฟ้าลั่น ผลกลม ท้ายแหลม ลูกขนาดกลาง นิยมรับประทานผลแก่ มีรสมัน เมื่อปอกเปลือก เนื้อมะม่วงจะปริแตก
หนังกลางวัน ผลยาวคล้ายงาช้าง แก่จัดรสมันอมเปรี้ยว สุกรสหวาน
แก้ว นิยมกินดิบ ผลอ้วนป้อม เปลือกเหนียว เมื่อเกือบสุกเปลือกจะมีสีอมส้มหรืออมแดง
โชคอนันต์ รูปร่างยาว ปลายมน กลายพันธุ์มาจากมะม่วงป่า นิยมนำไปทำมะม่วงดอง
มหาชนก เป็นลูกผสมของมะม่วงพันธุ์หนังกลางวันกับพันธุ์ซันเซ็ตจากอินเดีย ผลยาวรี สุกสีเหลืองเข้ม มีริ้วสีแดง เนื้อไม่เละ กลิ่นหอม จะสุกในช่วงที่มะม่วงพันธุ์อื่นวายแล้ว

คลิปเกษตร การปลูกมะม่วงให้ถูกหลัก ออกผลให้ถูกใจ

การทำสวนมะม่วง

การทำสวนมะม่วง 


“มะม่วงไทยยังมีอนาคต ตลาดยังต้องการสูง แต่ต้องเป็นการทำสวนมะม่วงแบบคนมีอาชีพปลูกมะม่วง ไม่ใช่ปลูกมะม่วงริมรั้วข้างบ้าน ปล่อยให้โตแบบตามมีตามเกิด เหมือนอย่าง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อส่งออกเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการรวมกลุ่มกันปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ส่งไปขายไกลถึง จีน ญี่ปุ่น เกาหล
“เขาทำกันแบบมืออาชีพจริง เมื่อกลับมาเราก็เริ่มคิดทำกัน มีเกษตรตำบลคอยช่วยเหลือ หาวิทยากรมาอบรมให้ความรู้ แรกๆ การรวมกลุ่มทำกันได้ไม่กี่คน ผลผลิตที่ได้


“เขาทำกันแบบมืออาชีพจริง เมื่อกลับมาเราก็เริ่มคิดทำกัน มีเกษตรตำบลคอยช่วยเหลือ หาวิทยากรมาอบรมให้ความรู้ แรกๆ การรวมกลุ่มทำกันได้ไม่กี่คน ผลผลิตที่ได้
ส่วนจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้แค่ไหน ประพันธ์บอกแค่เพียง มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 1 ไร่ ขายได้ประมาณ 90,000 บาท หักต้นทุนแล้วเหลือกำไร 50,000 บาท เกษตรกรแต่




อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/499359