
มะม่วงได้โดยมุ่งขายพันธุ์มะม่วง เช่นเดียวกับ คุณสุรศักดิ์ ศรีอำนวย เจ้าของ บ้านสวนไม้ดี เลขที่ 44/2 หมู่ที่ 7 ตำบลแก่นเสี้ยน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โทร. (089) 929-6305 ปัจจุบัน คุณสุรศักดิ์มีรายได้จากการขายพันธุ์มะม่วงเฉลี่ย 1 แสนบาท/ไร่/ปี
คุณสุรศักดิ์ เป็นหนุ่มชาวปักษ์ใต้ ที่ทำงานด้านศิลปะมาเกือบตลอดชีวิต โดยเรียนรู้งานเขียนจิตรกรรมไทย มาจาก อาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่คนในวงการศิลปะเรียก “ท่านกูฏ” หลังจากทำงานศิลปะจนอิ่มตัว คุณสุรศักดิ์หันมาสนใจทำงานด้านเกษตร เพราะต้องการอยู่กับธรรมชาติในช่วงบั้นปลายของชีวิต
“ผมไม่สนใจปลูกไม้ประดับ เพราะมองว่าเป็นสินค้าที่เหมือนของเล่น ราคาวูบวาบตามกระแสตลาด ขณะที่ไม้ผลเป็นของกินอย่างไรก็ขายได้ โดยตั้งใจทำสวนมะม่วงอย่างจริงจัง ผมเรียนรู้อาชีพการทำเกษตรโดยใช้หลักการเดียวกับการทำงานงานศิลปะ ท่านกูฏสอนว่า หลักการทำงานต้องประสาน 3 อย่าง เข้าด้วยกัน คือ ‘สายตา มือ และใจ’ ตาต้องมองดูความสวยงามให้ออก มือต้องฝึกฝนเขียนภาพให้ชำนาญ ต้องมีใจรักและชื่นชอบในงานที่ทำ จึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้”
คุณสุรศักดิ์ ตั้งใจศึกษาหาความรู้เรื่องการทำสวนมะม่วงจากตำราและโลกอินเตอร์เน็ต รวมทั้งพบปะพูดคุยกับเกษตรกรคนเก่งที่ประสบความสำเร็จในอาชีพทำสวนมะม่วง เช่น “พี่ตี๋” เจ้าของบ้านสวนเงาน้ำ ที่เชี่ยวชาญเรื่องการทาบมะม่วงเพราะทำมาตั้งแต่เด็ก พี่ตี๋เริ่มต้นปลูกมะม่วงขายกิ่งพันธุ์แค่ 1-2 ไร่ จนมีรายได้ทะลุหลักล้าน เกิดจากการขายกิ่งพันธุ์มะม่วงทั้งสิ้น

“พี่ตี๋ ให้คำแนะนำว่า หากอยากปลูกมะม่วงขายผล จะต้องมีพื้นที่ปลูกมะม่วงอย่างน้อย 10 ไร่ จึงมีรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ทั้งปี แต่หากขายกิ่งพันธุ์มะม่วง แค่มีพื้นที่ 1-2 ไร่ ก็มีรายได้และผลกำไรเหลือเฟือ เพราะยิ่งทาบกิ่งออกขาย ยิ่งเร่งให้ต้นมะม่วงแตกกิ่งมากขึ้น สามารถทาบกิ่งออกขายได้จำนวนมาก การปลูกมะม่วงขายพันธุ์ ดูแลจัดการง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือนกับปลูกมะม่วงขายผล”
สมัยก่อนเกษตรกรทั่วไปนิยมขยายพันธุ์มะม่วงด้วยวิธีการเสียบกิ่งและติดตา ซึ่งต้องใช้เวลารอคอยให้ตายืดตัวค่อนข้างนาน คุณสุรศักดิ์เชื่อว่า การทาบ เป็นวิธีการขยายพันธุ์มะม่วงที่ดีที่สุดในขณะนี้ สำหรับต้นมะม่วง ต้นขนุน มะขาม เงาะโรงเรียน หากใช้พันธุ์ที่เป็นกิ่งตอนหรือกิ่งทาบ จะให้ผลผลิตไว ตั้งแต่ปีแรกที่ปลูก โดยเด็ดผลทิ้งบ้างเพื่อไม่ให้ต้นติดลูกเยอะมาก จนต้นโทรม
ในทางปฏิบัติ ความรู้เรื่องการทาบกิ่งใครๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ภายใน 2 ชั่วโมงได้ แต่จะทาบกิ่งได้สำเร็จหรือไม่ ต้องวัดกันที่ฝีมือ หากฝีมือทาบกิ่งไม่ดีจริง จะทำให้มะม่วงตายได้ ทำให้หลายคนที่เริ่มต้นทาบกิ่งพันธุ์มะม่วงเกิดความรู้สึกท้อถอยได้ง่าย จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณสุรศักดิ์สอนให้รู้ว่า คนที่สนใจทาบกิ่งมะม่วงเป็นอาชีพ ควรมีเวลาฝึกฝนไม่ต่ำกว่า 2 ปี
ปัจจุบัน เกษตรกรที่เชี่ยวชาญด้านทาบมะม่วงที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วไปคือ กลุ่มเกษตรกรแถวบางขุนนนท์ คุณสุรศักดิ์ เคยติดต่อจ้างกลุ่มเกษตรกรบางขุนนนท์มาช่วยทาบกิ่งในสวนมะม่วงของเขา ปรากฏว่า คุณสุรศักดิ์ต้องเสียเวลารอนานถึง 2 ปี กว่าจะได้คิวเกษตรกรกลุ่มนี้มาทำงานด้วย โดยจ่ายค่าจ้าง ประมาณวันละ 1,000 บาท พร้อมอาหารและที่พัก
หนึ่งในเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้การทาบกิ่งได้ผลดีคือ เลือกใช้มีดที่คมมาก หลังจากเปิดเปลือกลำต้น ต้องใช้ปลายมีดปาดบนต้นมะม่วง ให้ผิวเรียบเนียนก่อนทาบกิ่ง จึงจะได้ผลดีตามที่ต้องการ คุณสุรศักดิ์โชว์มีดพกที่ใช้ประจำ ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความคมระดับมีดหมอผ่าตัด
คุณสุรศักดิ์ เล่าอีกว่า ทาบกิ่ง หากผลิตเป็นไม้ถุง จะใช้รากแก้วต้นตอเพียงต้นเดียว ต่อ 1 กิ่ง ส่วนการทาบต้น จะใช้หลายตอ ทาบรอบต้นเป็นตุ้มใหญ่ ทุกวันนี้ผมเลือกทาบมะม่วงที่มีกิ่งก้านขนาดใหญ่เป็นหลัก ผมเคยทาบต้นมะม่วงขนาดใหญ่ที่คนยกไม่ไหวต้องใช้เครนยกแทน โดยเทคนิคการทาบต้นมะม่วงขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้ทาบถึงสามชั้น โดยใช้ตอเปลือยถึง 30 ตอ ใช้รากแก้วถึง 30 ราก ถึงจะเอาอยู่ ตัดออกมาแล้วต้นไม่ตาย

“ทุกวันนี้ ลูกค้าไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติมะม่วงว่าอร่อยหรือไม่ แค่เป็นพันธุ์มะม่วงทะวายที่ให้ผลผลิตออกนอกฤดูกาลก็เพียงพอแล้ว สำหรับกลุ่มมะม่วงทะวายที่ตลาดมีความต้องการสูง ได้แก่ โชคอนันต์ มันเดือนเก้า มันศาลายา ส่วนมะม่วงพื้นบ้านที่ขายดีเช่นกัน ได้แก่ เขียวเสวย อกร่อง น้ำดอกไม้ มหาชนก”
ที่ผ่านมา บ้านสวนไม้ดี ผลิตกิ่งพันธุ์มะม่วงออกจำหน่ายตามไซซ์ที่ตลาดต้องการ โดยสินค้าที่มีขนาดเล็กสุดคือ ไม้ถุง ที่มีความสูง 1 เมตร ขายส่ง กิ่งละ 40 บาท แต่ปัจจุบันลดการผลิตสินค้าในกลุ่มนี้แล้ว เพราะมีผลกำไรน้อย และหันไปผลิต “ไม้เข่ง” ที่มีผลกำไรมากกว่าแทน สำหรับกลุ่มไม้เข่ง แบ่งเป็น 5 ขนาด คือ ไม้เข่ง ขนาด 10 นิ้ว ขนาด 12 นิ้ว ขนาดถังครึ่ง ขนาดสองถัง และขนาดสามถัง (ราคา 700-1,000 บาท) ส่วนไซซ์ใหญ่กว่าสามถังจะผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นหลัก
คุณสุรศักดิ์ บอกว่า สมัยก่อนเกษตรกรเลือกใช้ตอมะม่วงแก้วและมะม่วงป่าในการขยายพันธุ์ แต่ทุกวันนี้หันมาใช้ตอมะม่วงโชคอนันต์มากขึ้น เนื่องจากมะม่วงพันธุ์นี้มีผลผลิตตลอดทั้งปี จึงหาเมล็ดเพาะได้ง่าย นอกจาก มะม่วงแก้วขมิ้นของเขมรก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงขึ้น เกษตรกรนิยมสั่งซื้อเมล็ดแก้วขมิ้นจากโรงงานแปรรูปมะม่วงดอง ในราคา เมล็ดละ 35 สตางค์ ทางโรงงานจะแกะกะลา เหลือแต่เนื้อใน สามารถนำมาเพาะได้ง่าย ปี 2556 มีเกษตรกรรายหนึ่งในจังหวัดสุโขทัยสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์มะม่วงแก้วขมิ้นถึง 2 ล้านเมล็ด เพื่อนำไปเพาะขยายตอ และทาบกิ่ง
ปีที่แล้ว คุณสุรศักดิ์ สั่งซื้อเมล็ดมะม่วงแก้วขมิ้น ประมาณ 45,000 ต้น มาเพาะทำพันธุ์ แต่ปีนี้เปลี่ยนนโยบายไม่ขายเชิงปริมาณ แต่เน้นผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยสั่งซื้อเมล็ดแก้วขมิ้นเพียง 30,000 ต้น เท่านั้น และสั่งซื้อกิ่งมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาปลูกเพื่อศึกษาดูสายพันธุ์เพิ่มขึ้น ปัจจุบันสวนแห่งนี้สามารถขยายกิ่งพันธุ์มะม่วง อาร์ทูอีทู ได้เป็นจำนวนมาก รองลงมาคือ แดงจักรพรรดิ (ยู่เหวิน) กิมหงษ์ กิมฮวง จินฮวง
คุณสุรศักดิ์ บอกว่า ปริมาณความต้องการกิ่งพันธุ์มะม่วงต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเพื่อผลิตป้อนตลาดส่งออก อีกส่วนนิยมปลูกเป็นไม้แปลกในบ้านเรือน เพราะมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศเหล่านี้ มักให้ผลผลิตที่มีสีสันสวยงามแปลกตา เช่น มะม่วงพันธุ์ยู่เหวิน มีผลสีแดง ซึ่งไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน
ส่วนมะม่วงพันธุ์จินฮวง มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติความอร่อยแล้ว ผลยังมีขนาดใหญ่ เนื้อแน่น เมล็ดลีบและมีอายุการเก็บรักษาที่นาน ไม่ค่อยเสียง่าย มะม่วง อาร์ทูอีทู ก็มีอายุการใช้งานนาน แช่ตู้เย็นนานเป็นครึ่งเดือนผลก็ไม่เสีย เหมาะสำหรับขายขึ้นห้างสรรพสินค้า และป้อนตลาดส่งออก ส่วนแก้วขมิ้นจากเขมรก็มีลักษณะเด่นคือ เนื้อสีเหลือง ลูกใหญ่ เนื้อกรอบ อร่อย ก็เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย เกษตรกรจำนวนมากจึงสนใจสั่งซื้อกิ่งพันธุ์มะม่วงต่างประเทศในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบัน คุณสุรศักดิ์ ได้ทดลองปลูกมะนาวแซมสวนมะม่วง เพื่อเป็นช่องทางสร้างรายได้เสริมในอนาคต โดยเลือกปลูกมะนาวสายพันธุ์ปลอดโรคเป็นหลัก ได้แก่ มะนาวทูลเกล้า มะนาวน้ำหอมด่านเกวียน มะนาวแป้นพิจิตร คุณสุรศักดิ์ บอกว่า มะนาวแป้นพิจิตร ต้านทานโรคสูง แต่ยังไม่ปลอดภัยเสียทีเดียว สู้มะนาวน้ำหอมด่านเกวียนและพันธุ์ทูลเกล้าไม่ได้เพราะตั้งแต่ปลูกสองสายพันธุ์มะนาวนี้ไม่เจอโรคพืชเลย เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมผลิตขายส่งกิ่งพันธุ์มะนาวในราคากิ่งละ 35 บาท แต่สวนแห่งนี้สามารถขายส่งได้ในราคาสูงถึงกิ่งละ 300-700 บาท เพราะขยายพันธุ์มะนาวแบบตอนกิ่งและอัดตุ้ม โดยเน้นทำกิ่งพันธุ์มะนาวให้สวย ถูกใจลูกค้ามากที่สุด
“นอกจากนี้ ยังมีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สนใจสั่งซื้อกิ่งพันธุ์มะนาวแป้นรำไพเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นมะนาวสายพันธุ์โบราณ สายพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือ ทรงแป้น ผลโต ออกลูกดก เปลือกบาง น้ำมาก มีกลิ่นหอม เมล็ดน้อยมาก แค่ 3-4 เมล็ด แม้มะนาวสายพันธุ์นี้จะมีจุดอ่อนในเรื่องโรคแคงเกอร์ ยางไหล แต่เกษตรกรหลายรายกล้าลงทุนปลูกมะนาวแป้นรำไพเชิงการค้า โดยทุ่มทุนทำแปลงปลูกนอกฤดูแค่รุ่นเดียวแล้วฟันต้นทิ้ง เพราะให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า”
คุณสุรศักดิ์ ศรีอำนวย ใจดีและไม่หวงวิชา หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลเรื่องการขยายพันธุ์มะม่วงและมะนาว แวะไปเยี่ยมดูงานได้ที่ บ้านสวนไม้ดี หรือโทรศัพท์ไปพูดคุยได้โดยตรง ที่เบอร์โทร. (089) 929-6305 ได้ทุกวัน
ข้อมูล: นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน www.technologychaoban.com
No comments:
Post a Comment